250135 จำนวนผู้เข้าชม |
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโทนเนอร์คือ โทนเนอร์จำเป็นหรือไม่ ทำไมต้องใช้โทนเนอร์ โทนเนอร์ใช้ตอนไหน วันนี้เรามาคุยและมาไขคำถามเหล่านี้กันค่ะ
► ความเชื่อเกี่ยวกับโทนเนอร์
บางคนตั้งแต่เกิดมาไม่เคยใช้โทนเนอร์เลย เพราะเห็นว่าไม่จำเป็น ขอให้ลบความคิดที่ว่าไม่จำเป็นออกไปก่อน เพราะความจำเป็นของโทนเนอร์ ขึ้นกับประเภท ส่วนผสมของโทนเนอร์ และสภาพผิวของแต่ละคน
สำหรับผู้ที่เชื่อว่าโทนเนอร์ไม่จำเป็น เนื่องจากคิดว่า
สำหรับผู้ที่เชื่อว่า โทนเนอร์เป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากคิดว่า
นี่เป็นความเชื่อที่มีต่อโทนเนอร์ในสมัยเก่า คือ เชื่อในแง่ของการช่วยทำความสะอาดผิวเป็นหลัก โดยคิดว่าการล้างหน้าตามปกติไม่สะอาดเพียงพอ บางคนเชื่อว่าโทนเนอร์ช่วยกระชับรูขุมขน และอีกหลายคนตั้งธงว่าโทนเนอร์คือผลิตภัณฑ์เช็ดหน้าที่มี แอลกอฮอล์
จริงอยู่ที่โทนเนอร์ในสมัยเก่า มักมีวัตถุประสงค์เพื่อเน้นชำระความมัน โดยผสมแอลกอฮอล์ในสูตร สังเกตได้ง่ายๆเลยคือ เมื่อเช็ดจะรู้สึกเย็นสดชื่น ชำระความมันออกได้ดี หน้าแห้งเบา ซึ่งบางคนชอบฟีลลิ่งตรงนี้เพราะรู้สึกมั่นใจไปอีกขั้นว่าผิวสะอาดมากกว่าเดิม ทั้งที่ความจริงแล้ว ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าในยุคก่อนๆ มักมีสภาพเป็นด่างสูง (กลุ่มสบู่) ที่มีฤทธิ์ชำระล้างคราบมันได้ดีอยู่แล้ว แล้วเราจะต้องมาเช็ดหน้าด้วยแอลกอฮอล์อีกทำไม ช่วงแรกอาจจะดี แต่ใช้ไปนานเข้า หน้าจะยิ่งแห้ง และผิวระคายเคืองง่าย โทนเนอร์ประเภทนี้ควรหลีกเลี่ยง
► ความจริงเกียวกับโทนเนอร์ที่ควรรู้
1.โทนเนอร์ไม่ได้ผสมแอลกอฮอล์เสมอไป
2.การจะบอกว่าโทนเนอร์จำเป็นหรือไม่ ควรจะดูที่ส่วนผสมเป็นหลัก
3.โทนเนอร์ที่ดีไม่ควรมีแอลกอฮอล์ผสม ถ้ามี ควรมีใน % ที่น้อยๆหรือไม่มีจะดีที่สุด
►ทำไมต้องเติมน้ำให้ผิวหลังล้างหน้า
แม้ว่าผลิตภัณฑ์ล้างหน้าในปัจจุบันจะมีตัวเลือกหลากหลาย และพยายามปรับให้อ่อนโยนมากขึ้น แต่เราจะทราบได้อย่างไรว่า ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เราใช้อยู่ มันอ่อนโยนจริง ถ้าเลือกไม่เป็น ดูส่วนผสมไม่เป็น เราก็อาจกำลังใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่จัดว่าเป็น " สบู่ " เพียงแต่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบก้อน ก็เป็นได้ เช่น สบู่เหลว ที่เรียกให้สวยว่า ครีมอาบน้ำ หรือแม้แต่สบู่ที่อยู่ในรูป โฟมล้างหน้า แม้ว่าในสูตรจะถูกเติมสารให้ความชุ่มชื้นเช่น กลีเซอรีนเข้าไปช่วย แต่ความเป็นด่างของสบู่ก็ยังรบกวนผิวอยู่ดี
ในขั้นตอนการล้างหน้า น้ำมันที่เคลือบผิวจะถูกชะล้างออกไป มากหรือน้อยขึ้นกับผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เราใช้ ผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์ชะล้างรุนแรง ก็จะชะน้ำมันออกไปได้มาก บางผลิตภัณฑ์อาจอ่อนโยนจนชะล้างน้ำมันออกจากผิวไม่หมดหรืออาจจะผสมมอยเจอร์ไรเซอร์ปริมาณสูง จนล้างแล้วรู้สึกว่าลื่นล้างไม่ออก ทำให้ผู้ใช้หลายๆคนสรุปว่า ผลิตภัณฑ์นี้ล้างไม่สะอาด และพยายามหาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ล้างแล้วเกลี้ยง ตึงผิว ยิ่งตึงยิ่งสะอาด ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องนัก
ไม่ว่าผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่คุณใช้อยู่จะล้างสะอาดจนผิวตึง หรือว่าสะอาดพอประมาณและหลงเหลือความลื่นของผิวไว้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับผิวของคุณในช่วงหลังล้างหน้าจะคล้ายๆกันคือ น้ำใต้ผิวจะระเหยออกอย่างรวดเร็ว ยิ่งปล่อยหน้าไว้นานโดยไม่รีบเติมความชุ่มชิ้น ผิวจะยิ่งแห้ง และผิวจะเริ่มขับน้ำมันออกมาเคลือบผิวเพื่อลดการสูญเสียน้ำใต้ผิว นี่อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุุที่ทำให้บางคนเกิดปัญหาที่ว่า ทำไมล้างหน้าเสร็จไม่นาน ผิวก็มันแล้ว
ดังนั้น หลังล้างหน้าทุกครั้ง ควรมีการปรับสภาพผิวด้วยโทนเนอร์ที่มีคุณสมบัติปรับค่ากรดด่างและเติมน้ำให้ผิว จะช่วยให้ผิวอิ่มน้ำ เมื่อผิวอิ่มน้ำและชุ่มชื้น ผิวจะดูดซึม "เซรั่ม ครีม" ที่เราเตรียมจะลงในขั้นตอนต่อไปได้เป็นอย่างดี
เคยสังเกตมั้ยคะว่า ทำไมบางช่วงเราทาครีมแล้วครีมไม่ลงผิว เคลือบแต่บนๆ ตื่นมาหนัามันเยิ้ม เผลอๆอุดตันเป็นสิวอีกต่างหาก ยิ่งถ้าหากซื้อครีมมาแพง แต่ครีมไม่ซึมนี่ ทำให้รู้สึกว่าครีมไม่ดี ไม่สมราคา แท้จริงแล้ว อาจเป็นเพราะผิว ณ ขณะนั้นของเรา แห้งกร้าน ขาดความชุมชื้น เมื่อทาครีม โลชั่น ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน ทำให้การดูดซึมของน้ำมันเป็นได้ได้ยากและบางรายเกิดการตกค้างของน้ำมันตามรูขุมขนกลายเป็นสิวอุดตัน
ในตำราแพทย์ผิวหนังญี่ปุ่น ได้เขียนไว้ว่า ผิวที่ชุ่มชื้นพอดี จะช่วยเพิ่มการดูดซึมผลิตภัณฑ์บำรุงผิวได้ดี ในทางกลับกัน ผิวที่แห้งเกินไปหรือมันเกินไป การดูดซึมก็จะแย่ลง หลักการบำรุงผิวของสกินแคร์ของญี่ปุ่น จึงมีขั้นตอนในการเติมน้ำให้ผิวหลังล้างหน้าเสมอ
นอกจากความชุ่มชื้นจะช่วยในแง่การดูดซึมครีมแล้ว ความชุ่มชื้น ยังทำให้เซลล์ผิวพองตัว ส่งผลให้รูขุมขนซึ่งอยู่ตรงจุดตัดของเซลล์ผิวถูกเบียดให้แน่น รูขุุมขนจึงดูแคบลง อีกทั้งการพองตัวขึ้นของเซลล์ผิว ทำให้ผิวหนังชั้นนี้ดูหนาขึ้น สูงขึ้น การลำเลียงน้ำมันออกมาตามรูขุมขนเพื่อมาเคลือบผิว จะใช้เวลานานขึ้น คนที่มีผิวชุ่มชื้นพอดี จึงมักไม่มีปัญหาผิวมันเร็ว
อ่านต่อ >> บทความเรื่อง ความชุ่มชื้น รูขุมขน ความมัน ตาข่ายผิว เกี่ยวข้องกันอย่างไร
► เวลาก็สำคัญ..นะ !!!
ที่ผ่านมา...ลองจับเวลาดูคะว่า นับจากที่คุณซับหน้าให้แห้ง จนถึงตอนที่คุณใช้โทนเนอร์เช็ดหรือมาส์กหน้า ห่างกันกี่นาที.. ถ้าคุณปล่อยเกิน 3 นาที ผิวของคุณอาจเสียน้ำหล่อเลี้ยงผิวไปแล้ว การมาส์กหน้าจะได้ประโยชน์น้อยลง และถ้าเป็นการเช็ดธรรมดา ยิ่งไม่ได้ประโยชน์เลย มาปรับรูปแบบการบำรุงผิวกันใหม่ค่ะ
ตอนเช้า : อาบน้ำ แปรงฟัน ให้เรียบร้อย แล้วค่อยมาสู่ขั้นตอนการทำความสะอาดผิวหน้า อาจจะล้างด้วยน้ำเปล่า สำหรับคนที่มีผิวหน้าแห้ง หรือล้างด้วยผลิตภัณฑ์หมวดล้างหน้าที่เหมาะกับผิว > ซับหน้าเบาๆให้แห้ง อย่าปล่อยให้น้ำเปียกอยู่บนผิว แล้วรอระเหยแห้งไปเอง > ต่อด้วยการมาส์กหน้าด้วยโทนเนอร์ที่ช่วยเติมน้ำให้ผิว> ตามด้วยการลงครีมบำรุง ครีมกันแดด ต่อๆกัน ให้เรียบร้อยในคราวเดียว
ตอนเย็น : เริ่มด้วยการทำความสะอาดเมคอัพก่อนด้วยผลิตภัณฑ์ หมวดล้างเมคอัพ > อาบน้ำ > แปรงฟัน > แล้วมาจบที่การล้างหน้าอีกรอบด้วยผลิตภัณฑ์หมวดล้างหน้า > เข้าสู่ขั้นตอนการมาส์กหน้าด้วยโทนเนอร์
สิ่งที่ไม่ควรทำคือ เริ่มล้างเมคอัพ + ล้างหน้า +ซับหน้าแห้ง แล้วถึงไป อาบน้ำ แปรงฟัน รู้หรือไม่ว่าระหว่างที่เราอาบน้ำ น้ำใต้ผิวหน้าก็ระเหย หน้าก็แห้งไปเรียบร้อย พอไปมาส์กโทนเนอร์ก็ไม่ทันแล้วค่ะ
► โทนเนอร์สูตรไหนนะที่เติมน้ำให้ผิวได้ดี
แนะนำโทนเนอร์สำหรับผิวแห้ง centella toner สูตรใบบัวบก
วิธีการใช้ ช่วงเข้ามีเวลาน้อยรีบไปทำงาน ให้ใช้วิธีตบโทนเนอร์เบาๆเข้าผิวโดยตรง และใช้ฝ่ามือแนบกดไปที่ผิวหน้าเป็นการปิดท้าย ความอุ่นบนฝ่ามือจะช่วยผลักเนื้อโทนเนอร์เข้าผิวได้มากขึ้น ช่วงเย็น เป็นช่วงที่มีเวลา ให้ใช้วิธีมาส์กหน้าด้วยสำลี (cotton mask)
► เป็นคนผิวมันอยู่แล้ว ใช้โทนเนอร์สูตรเติมน้ำได้หรือไม่
ได้ค่ะ เพราะการเติมน้ำให้ผิว เป็นคนละส่วนกับการเติมน้ำมันให้ผิว โดยทั่วไปโทนเนอร์คือผลิตภัณฑ์ที่มี เบสเป็นน้ำ ผสมกับสารนำพา มอยเจอร์ไรเซอร์และสารสกัดต่างๆ ที่ละลายในน้ำ โดยไม่มีน้ำมันเป็นส่วนผสม* คนผิวมันจึงใช้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่มีปัญหา " ผิวมันขาดน้ำ" การปรับสภาพผิวด้วยโทนเนอร์สูตรเติมน้ำมีส่วนสำคัญอย่างมากในการบำรุงผิว
* โปรดอ่านรายละเอียดส่วนผสมของโทนเนอร์ที่ใช้อยู่ เพราะบางแบรนด์อาจตั้งชื่อเป็นโทนเนอร์แต่มีน้ำมันผสมในสูตร